ชุดไทยกับพิธีแต่งงานนั้นเป็นสิ่งที่คู่กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะชุดไทยนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์และความงดงามที่แตกต่างกันชุดแต่งงานในแบบอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมความเป็นไทยอีกด้วย
- ความเป็นมาของชุดไทย
ชุดไทย ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นเพราะกระแสนิยมที่สืบเนื่องมาจากที่ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริและทำการส่งเสริมผ้าไทยอย่างจริงจัง จนเปิดเป็นมาตรฐานเครื่องแต่งกายที่เป็นผ้าไทย และชุดประจำชาติไทยที่สามารถแสดงออกถึงเอกลักษณ์อันวิจิตรตระการตา งดงามด้วยลวดลายไทยอันอ่อนช้อย ปักและทอลงบนผืนผ้าอย่างประณีตงดงาม
ชุดไทยพระราชนิยม เริ่มต้นจากการคิดและสร้างสรรค์ชุดแต่งกายให้เหมาะสมกับวิถีชีวิต จึงทำให้เกิด ชุดไทยพระราชนิยม และได้นำมาใช้กับงานแต่งงานในธีมชุดไทยจนถึงปัจจุบัน โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานชื่อเหล่านี้ขึ้นมา ดังนี้
- ชุดไทยเรือนต้น ( Thai Ruean Ton )
เป็นการตั้งชื่อชุดตามเรือนต้น โดยใช้ผ้าไหมมีลายริ้ว ตามแนวยาว แนวขวาง หรือ ใช้ผ้าเกลี้ยงมีเชิงซิ่น ยาวจนถึงข้อเท้า เหมาะกับใช้ในงานแต่งที่ไม่ค่อยมีพิธีการ งานแต่งที่จัดที่บ้านเน้นความเรียบง่ายสบายๆ
- ชุดไทยจิตรลดา (Thai Chitlada )
เป็นการตั้งชื่อชุดตามพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน โดยใช้ผ้าไหมเกลี้ยงมีเชิง หรือ ทอยกดอกทั้งตัวตัดเป็นซิ่นยาว เหมาะกับใช้ในงานแต่งที่เป็นงานพิธีไทยที่มีความเป็นทางการมากขึ้น
- ชุดไทยอมรินทร์ (Thai Amarin )
เป็นการตั้งชื่อชุดตามพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย โดยแบบนั้นจะเหมือนกับชุดไทยจิตรลดา แต่จะต่างกันที่ผ้าซึ่งเป็นผ้าไหมยกดอกที่ทีทองแกมหรือยกทองทั้งตัว และเครื่องประดับที่มีความหรูหรากว่าชุดไทยจิตรลดา เหมาะกับใช้ในงานแต่งที่ค่อนข้างเป็นทางการ เหมาะกับพิธีช่วงเย็นเป็นอย่างมาก
- ชุดไทยบรมพิมาน (Thai Boromphiman)
เป็นการตั้งชื่อชุดตามพระที่นั่งบรมพิมาน ใช้ผ้ายกไหมยกทองมีเชิงหรือยกทองทั้งตัวติดกันกับตัวเสื้อ เหมาะกับใช้ในงานแต่งที่เป็นทางการมาก อย่างพระราชทานสมรส พิธีรดน้ำสังข์ เหมาะกับพิธีช่วงเย็น
- ชุดไทยจักรี (Thai Chakkri)
เป็นการตั้งชื่อชุดตามพระที่นั่งจักรีมหาประสาท ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัวคาดเข็มขัดไทย ท่อนบนเป็นสไบ เหมาะกับใช้ในงานแต่งที่ค่อนข้างเป็นทางการ เหมาะกับพิธีช่วงเย็น
- ชุดไทยจักรพรรดิ (Thai Chakkraphat )
เป็นการตั้งชื่อชุดตามพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ใช้ซิ่นไหมหรือยกทอง เอวจีบ มีชายพก ห่มแพรจีบแบบไทยเป็นชั้นแรก แล้วมีสไบปักแบบสตรีบรรณาศักดิ์สมัยโบราณ เหมาะกับใช้ในงานแต่งที่มีความเป็นทางการสูง
- ชุดไทยดุสิต (Thai Dusit )
เป็นการตั้งชื่อชุดตามพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตัวเสื้อไม่มีแขน คอคว้านกว้าง มีลวดลาย เหมาะกับใช้ในงานแต่งที่มีความเป็นทางการ เหมาะกับพิธีช่วงเย็น
- ชุดไทยศิวาลัย ( Thai Siwalai )
เป็นการตั้งชื่อชุดตามพระที่นั่งศิวาลัย ใช้ซิ่นไหมหรือยกทอง มีชายเสื้อพกตัดแบบแขนบาว ผ่าหลัง เย็บติดกับผ้าซิ่นคล้ายชุดไทบรมพิมาน เหมาะกับใช้ในงานแต่งที่มีความเป็นทางการมาก โดยอากาศในวันที่ใส่จะเหมาะกับอากาศที่ค่อนข้างเย็น ด้วยความที่ชุดนั้นดูเต็มยศจึงไม่เหมาะกับในวันที่อากาศร้อน
- ชุดไทยกับงานพิธี
-พิธีสมรสพระราชทาน
ชุด ไทยบรมพิมาน เป็นชุดที่เหมาะสมกับพิธีสมรสพระราชทานมากที่สุด เป็นชุดที่ตรงตามระเบียบของวัง เพราะต้องมีการเข้าวังเพื่อรับสมรสพระราชทาน
ส่วนเรื่องสีและชนิดผ้าของชุดนั้นไม่ได้ถูกกำหนดไว้ แต่แนะนำให้เลือกโทนสีและเนื้อผ้าที่มีความสุภาพที่สุดเพื่อให้เกิดความเหมาะสม
-พิธีสมรสแบบมีพิธีสงฆ์
ในงานสมรสที่มีพิธีสงฆ์จำเป็นต้องเลือกชุดที่มีความมิดชิด เช่น ชุดไทยศิวาลัย หรือ ชุดไทยบรมพิมาน จะดูเหมาะสมที่สุด เพราะชุดไทย 2 ชุดนี้มีความคล้ายกันก็คือ มีการห่มสไบปิดตรงช่วงไหล่ไม่ให้เห็นช่วงเนินเนื้อ
-พิธีสมรสแบบไม่มีพิธีสงฆ์
ในงานสมรสที่ไม่มีพิธีสงฆ์เป็นเพียงแค่พิธีหมั้นและหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ การเลือกชุดนั้นสามารถเปิดกว้างได้มากกว่าตามความชอบ แต่ถ้าจะให้มีความสวยงามและเหมาะสมด้วย จะเน้นไปที่ชุดไทยบรมพิมาน หรือ ชุดไทยประยุกต์
- เอกลักษณ์ของชุดแต่งงานไทยสมัยก่อนในปัจจุบัน
ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านมาหลายร้อยปี แต่เอกลักษณ์ของชุดแต่งงานไทยในสมัยก่อนก็ยังส่งต่อเอกลักษณ์และเสน่ห์มายังชุดแต่งงานไทยในปัจจุบันนี้ อย่างที่สังเกตได้ชัดเลยก็คือ การห่มสไบและการใช้ผ้าซิ่นถักทอเป็นลวดลายแบบต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ในแต่ละชุด รวมถึงการใช้สีสันต่างๆ ในการออกแบบชุดแต่งงานไทยในแบบต่างๆ ขึ้นมาอย่างตั้งใจ
ทางร้าน Milanwedding Studio พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้คำแนะนำในการเลือกไทย ชุดแต่งงานสำหรับเจ้าสาว ให้ออกมาเพอร์เฟกต์ เพื่อให้อีกหนึ่งวันสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของผู้หญิง นั้นเต็มไปด้วยความงดงาม ประทับใจ และ ถูกบันทึกเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป ..